ikigai เหตุผลของการมีชีวิตอยู่ กับ Gen Y

Ikigai-01

เมื่ออายุเข้า 30 เราก็เริ่มมีคำถามว่านี่เราเกิดมาทำไมกันนะ ชีวิตน่าเบื่อสุด ๆ ได้แต่นั่งทำงานงก ๆ เพื่อหาเงินมาใช้จ่ายสำหรับทั้งเดือน เงินเดือนเหมือนเงินทอน ใช้ให้ชนเดือนก็ดีใจแล้ว สุขภาพไม่ค่อยดี ป่วยเป็นโรคกะเพาะเพราะกินข้าวไม่ตรงเวลา กลับบ้านรถก็โคตรจะติด ติดแม่มไรนักหนาก็ไม่รู้ เสียสุขภาพจิตมาก ความก้าวหน้าในชีวิตเท่ากับศูนย์ ชีวิตที่เคยสดใสค่อย ๆ จางหายไปจนแทบไม่เหลืออะไรเลย ทำไมการเป็นผู้ใหญ่มันยากเย็นได้ขนาดนี้

เราเคยเป็นคนนึงที่ไม่อยากตื่นเพื่อไปทำงานในตอนเช้า แล้วก็ต้องฝ่ารถติดไปทำงานที่ไม่อยากทำ เอาเป็นว่าแค่เรื่องงานเรื่องเดียว ทำระบบชีวิตรวนหมดเลย เละเทะ พังพินาศ และเครียดมากจนเกือบจะเป็นซึมเศร้า เราเลยคิดว่าไหนๆ เรื่องงานมันก็คือเรื่องใหญ่ของชีวิต งั้นเราคงต้องมองหางานที่ตอบโจทย์จริงๆ และทำให้งานของเรานั้นมันสนุก แล้วก็มีความสุขไปกับมันด้วย จะดีกว่ามั้ย

เราพยายามค้นคว้าวิธีการหาตัวตนที่แท้จริง ว่าเราเหมาะที่จะทำอะไรกันแน่ แล้วเราก็ได้เจอกับทฤษฎีที่ชื่อว่า ikigai ของชาวโอกินาว่า ประเทศญี่ปุ่น ที่พูดถึง “เหตุผลของการมีชีวิตอยู่” มันทำให้เห็นว่ายังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เค้าอยากจะตื่นขึ้นมาในทุกๆ เช้าเพื่อไปใช้ชีวิต หืม นี่มันสุดยอดแนวคิดเลยนะเนี่ย เราจะมีชีวิตแบบนั้นได้จริงๆใช่มั้ย คำตอบอยู่ที่นี่แล้ว

องค์ประกอบของ Ikigai

อิคิไก คือส่วนที่อยู่ตรงกลางระหว่างงานที่รัก กับงานที่ทำได้ดี ซึ่งมันประกอบไปด้วย 4 อย่างนี้

  • What you love (your passion) สิ่งที่รัก
  • What the world needs (your mission) สิ่งที่โลกต้องการ
  • What you are good at (your profession) สิ่งที่ถนัด
  • What you can get paid for (your vocation) สิ่งที่มีคนยอมจ่ายเงินให้เรา

ซึ่งการค้นพบ ikigai จะนำมาซึ่งความสุขและการเติมเต็มในชีวิต และทำให้มีอายุที่ยาวนานขึ้น

Ikigaiสิ่งที่รัก (Passion)

คือ ความหลงใหล คลั่งใคล้ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นความชอบที่อินมากๆจนอยากจะทำสิ่งนั้นนานๆ เช่น การมีแพชชั่นในเรื่องศิลปะ คนนั้นก็จะวาดรูปได้ทั้งวี่ทั้งวัน ตื่นมาก็คิดถึงแต่เรื่องการวาดรูป ไปไหนมาไหนก็อยากจะวาดรูปตลอดเวลา บางคนอาจจะหลงรักในการทำกาแฟ อยากเป็นบาริสต้า เค้าคนนั้นก็จะศึกษาเรื่องนั้นอย่างจริงจัง และลงมือทำมันด้วยความรัก ความละเมียดละไม ใส่ใจในทุกรายละเอียด

ซึ่งเราสามารถมองออกได้ว่าคนนั้นทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยความรักจริงหรือไม่ และเมื่อไหร่ที่เราทำงานด้วย Passion มันก็จะยิ่งช่วยให้เรามีความสุขมากขึ้น เราสามารถค้นหาได้ด้วยการเขียนมันออกมาให้หมด เรื่องที่ชอบทำ งานอดิเรก เช่น ชอบงานเขียน ชอบแสดงออก ชอบแต่งบ้าน ชอบงานศิลปะ ชอบชงกาแฟ ชอบจัดดอกไม้ ลงไปในช่องสิ่งที่คุณรักนี้

สิ่งที่ถนัด (Profession)

คือการทำงานได้แบบไหลลื่น ไม่ต้องฝืนใจ เป็นสิ่งที่ทำได้จนคล่อง ถ้ายังไม่ค่อยแน่ใจเบื้องต้นให้มองหาจากความรู้สึกที่ว่าเราเก่งทางด้านไหนจากสาขาวิชาที่เรียนจบมา วิชาที่เรียนแล้วชอบได้คะแนนดี และจากงานที่ทำ เช่น เก่งภาษาอังกฤษ เก่งภาษาญี่ปุ่น เก่งงานขาย พูดเก่ง มนุษยสัมพันธ์ดี แล้วลองมองลึกไปอีกว่าความสามารถเฉพาะทาง ทักษะที่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ มีแค่เราเท่านั้นคืออะไร เพราะเราต่างเติบโตและถูกสั่งสอนมาในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมือนกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยเด็ก ซึ่งภาพจำและประสบการณ์เหล่านั้นแหละ ที่ทำให้เราพิเศษกว่าคนอื่นๆ อย่างเช่นว่า บางคนอาจจะโตมากับการที่ได้เห็นแม่ทำกับข้าวอร่อยๆ แล้วตอนเด็กๆก็ชอบที่จะเข้าครัวไปช่วยแม่ คนนั้นก็จะได้รู้กลเม็ดวิธีการทำอาหารให้อร่อย ที่แตกต่างจากคนอื่น อย่างเราเอง สกิลเฉพาะตัวเลยก็คือการทำงานประดิษฐ์ ได้ทำงานที่เกี่ยวข้องกับศิลปะ ชอบงานดีไซน์สวยๆ ชอบอ่านหนังสือ จึงทำให้เราสนใจที่จะเรียนและทำงานในด้านการทำดีไซน์ด้วย

สิ่งที่โลกต้องการ (Mission)

คือคุณค่าที่อยู่ในตัวเองที่สามารถส่งต่อไปให้กับผู้คนรอบๆตัว และทำให้เกิดประโยชน์กับคนที่ได้รับมันไป ช่วยทำให้ชีวิตของเค้าดีขึ้น เช่น การขายอาหารเพื่อสุขภาพ การเขียนบล็อกที่มีข้อมูลน่ารู้ หรือจะเป็นการที่เราทำสิ่งที่ช่วยเหลือคนอื่นได้  เช่น การเป็นจิตอาสาช่วยเหลือสังคม การช่วยเหลือสัตว์ยากไร้ การเป็นมังสวิรัติ การให้คำปรึกษากับคนที่มีความทุกข์ เป็นไปได้ทั้งเรื่องที่ทำแล้วได้เงินและไม่ได้เงิน

แต่ถ้าอยากพบอะไรที่มันแตกต่างกว่านี้ ก็ต้องออกสำรวจ ใช้ใจฟังให้ดีว่าใครกำลังต้องการความช่วยเหลือบ้าง อาจจะเริ่มจากปัญหาเล็กๆของตัวเราเอง แล้วลองสังเกตุดูซิว่ามีคนอื่นข้างนอกที่ประสบปัญหาเหมือนกับเราหรือไม่ แล้วเรามีวิธีก้าวผ่านปัญหานี้อย่างไรได้บ้าง

สิ่งที่มีคนยอมจ่ายเงินให้เรา (Vocation)

คืองานอะไรก็ได้ที่ทำแล้วได้เงิน ไม่ว่าจะเป็นงานหลัก หรือจะเป็นงานเล็กงานน้อย เคยเปลี่ยนมาแล้วกี่อาชีพ เคยทำอะไรมาบ้างก็ลองเขียนออกมาเป็นข้อๆ เพื่อให้เห็นว่าอะไรที่เราทำแล้วมันแฮปปี้ ได้ประสิทธิภาพสูงบ้าง แล้วมันต้องแลกมากับอะไรบ้าง ตัวอย่างเช่น อาชีพที่ทำอยู่ทุกวัน เป็นนักบัญชี นักกฎหมาย รับจ้างวาดรูป รับจ้างเย็บเสื้อ เป็นล่ามแปลภาษา เป็นเลขา ขายของออนไลน์ ทำขนมขาย ทำมาร์เก็ตติ้ง ซึ่งงานที่ทำแล้วได้เงินเยอะ อาจจะไม่ได้มีความสุขเท่ากับงานที่ทำเงินได้น้อยก็เป็นได้ พอเราเริ่มเขียนลงไปเยอะๆมันจะช่วยให้เราเข้าใจตัวเองมากยิ่งขึ้น

เมื่อเขียนลงไปจนครบทุกช่อง จะเจอสิ่งที่มันปรากฏซ้ำๆอยู่ในทุกช่อง นั่นแหละคือ อิคิไก ของแต่ละคน ซึ่งมันเหมือนกับว่าเราได้ค้นพบแนวทางแล้วว่า สิ่งนี้แหละที่ทำให้เราอยากจะตื่นขึ้นมาทำทุกวัน ตัวอย่างเช่น เรารู้แล้วว่า อิคิไก ของเราคืองานดีไซน์ที่มีสีสัน สเต็ปต่อไปเราก็ต้องพยายามทำให้จุดนี้ของเราโดดเด่นออกมาด้วย โดยการค่อยๆปั้นแต่งมันให้มีความชัดเจนขึ้น ต่อยอดให้มันมีความเฉพาะตัวมากขึ้น และสามารถเข้าถึงคนได้มากขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันอยู่ใน DNA ของเราอยู่แล้วอยู่ที่ว่าเราจะนำไปประยุกต์ใช้อย่างไร จะต่อยอดหรือเพิ่มเติมที่ส่วนไหนได้บ้างนั่นจะทำให้ Ikigai ของเรานั้นสมบูรณ์และยั่งยืน

เมื่อเราเจอสิ่งที่เราอยากจะทำแล้ว ก็จะช่วยให้เรามีความสุขกับการทำงาน มีทัศนคติที่ดีกับงานที่ทำมากขึ้น แล้วผลงานก็จะออกมาดีด้วย นั่นยิ่งทำให้ตัวตนข้างในของเรายิ่งเด่นชัดขึ้น ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการที่ใจของเรานั้นมีความสุข สุขที่ได้ทำงาน สุขที่ได้ใช้ชีวิต สุขที่ยังมีครอบครัวให้ดูแลและคิดถึง ซึ่งความสุขเหล่านี้มันอาจจะไม่ได้ต้องการเงินเยอะแยะเพื่อให้มันสุขมากขึ้นเลยนะ เมื่อใจเป็นสุข สิ่งดี ๆ ก็จะทยอยเดินเข้ามาหาเราเอง

มาฟัง Podcast เกี่ยวกับ Gen Y ได้ที่นี่ค่ะ

สรุป

การหา Ikigai ก็เหมือนเป็นการทบทวนตัวเองอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เรามองเห็นว่า เรามีดีอะไร คุณค่าที่แท้จริงอยู่ตรงไหน ซึ่งแนวคิดนี้อาจจะทำให้ชีวิตของเพื่อนๆเปลี่ยนไปเลยก็ได้ แค่เพียงเราเข้าใจและมองเห็นมัน พยายามใส่ใจต่อยอดมันไปทีละน้อย ทำวันนี้ ความสำเร็จอาจจะไม่ได้มาพรุ่งนี้ แต่ที่มีมากขึ้นแน่นอนคือกำลังใจ และคุณค่าในตัวเองที่จะค่อยๆเพิ่มขึ้น

จนทำให้เรากลายเป็นคนที่มีสกิลใหม่ มีนิยามใหม่ให้ตัวเอง ได้เปิดมุมมองดีๆให้กับชีวิต ซึ่งการค้นหาตัวตนจนเจอ และไปต่อได้นั้น ไม่ได้ใช้แค่ Passion หรือความหลงใหล เป็นตัวนำทางเพียงอย่างเดียวเหมือนที่ใครๆเค้าว่ากัน แต่มันเป็นเรื่องของหลายๆส่วนประกอบกันขึ้นมาต่างหาก และที่สำคัญคือมันใช้เวลาพอสมควรในการค้นหาและตกผลึกกับมัน

ถ้าเราเข้าใจคำว่า “คุณค่า” เมื่อไหร่ ก็จะทำให้เราเข้าใจ “เหตุผลของการมีชีวิตอยู่” มีความสุขมากขึ้น และสิ่งนี้จะช่วยยึดเหนี่ยวไม่ให้เราฟุ้งซ่านและเอาแต่โทษตัวเองว่าเราดีไม่พอในวันที่เรารู้สึก “ไร้คุณค่า” มากที่สุด

ใครอยากลองหา ikigai ให้ตัวเองบ้าง ดาวน์โหลดเทมเพลทได้ที่นี่เลย

ที่มาบางส่วนจาก  Thriveglobal

 

สำหรับคนที่อยากจะเข้าใจตัวเองให้มากขึ้นว่าอนาคตจะทำอะไรดี มาอ่านบทความนี้กันเลยจ้ะ

ข้อคิดจากคนดังในตำนานอย่าง Steve Jobs ที่จะทำให้รู้ว่าชีวิตนี้มันสั้นนัก

 

อยากสร้างบล็อกเพื่อเพิ่มคุณค่าให้ตัวเอง ดูที่นี่ได้เลยค่ะ