ข้อคิดในการใช้ชีวิตจาก Steve Jobs

ข้อคิดในการใช้ชีวิตจาก Steve Jobs

Steve Jobs ผู้ก่อตั้งบริษัท Apple คือบุคคลที่น่ายกย่องคนหนึ่ง เค้าสามารถเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ด้วยการสร้างคอมพิวเตอร์ Mac และ Iphone ที่พลิกโฉมหน้านวัตกรรมเทคโนโลยีของโลกไปอย่างสิ้นเชิง และนี่คือสุนทรพจน์ ข้อคิดในการใช้ชีวิตจาก Steve Jobs ที่เค้าเคยให้ไว้ในพิธีจบการศึกษาของมหาวิทยาลัย Standford ปี 2005 ถึงมันจะนานมากแล้วและเค้าก็ไม่ได้มีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้วเช่นกัน แต่ข้อคิดที่เค้าให้ไว้ยังคงความอมตะและใช้สอนคนรุ่นใหม่ๆ ได้อย่างดีเลยทีเดียว

สุนทรพจน์ ข้อคิดในการใช้ชีวิตจาก Steve Jobs

บทแปลจากสุนทรพจน์ในปี 2005

ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาอยู่ร่วมกับพวกคุณวันนี้ ในงานพิธีจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของโลก

เรื่องจริงก็คือ ผมเรียนไม่จบมหาวิทยาลัย นี่เป็นสิ่งที่ใกล้เคียงการเรียนจบมหาวิทยาลัยมากที่สุดเท่าที่ผมเคยได้รับ วันนี้ผมจะมาเล่าให้คุณฟัง 3 เรื่องจากชีวิตของผม แค่นั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แค่ 3 เรื่องเท่านั้น

1.การเชื่อมต่อจุด Connecting the dots

ข้อคิดในการใช้ชีวิตจาก Steve Jobs

“Again, you can’t connect the dots looking forward; you can only connect them looking backward. So you have to trust that the dots will somehow connect in your future. You have to trust in something — your gut, destiny, life, karma, whatever. This approach has never let me down, and it has made all the difference in my life.”

ผมดรอปเรียนที่มหาวิทยาลัย Reed หลังจากที่ได้เรียนไปแค่ 6 เดือน แต่ก็ยังวนเวียนใช้ชีวิตในฐานะ Drop in อีก 18 เดือน ก่อนที่จะตัดสินใจลาออกจริงๆ ทำไมผมถึงต้องดรอปเรียน

มันเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนที่ผมจะเกิด แม่ทางสายเลือดของผมยังเด็กและยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัย เธอตัดสินใจที่จะยกผมให้คนอื่นเลี้ยงดูแทน เธอรู้สึกเป็นอย่างมากว่าผมจะได้รับการเลี้ยงดูโดยคนที่เรียนจบมหาวิทยาลัย เพราะฉะนั้นทุกอย่างเลยถูกเตรียมเอาไว้สำหรับผมเพื่อการรับอุปถัมภ์โดยทนายความคนหนึ่งและภรรยาของเค้า ยกเว้นว่าตอนที่ผมคลอดออกมาพวกเค้าตัดสินใจในวินาทีสุดท้าย ว่าเค้าอยากจะได้เด็กผู้หญิง ดังนั้น ครอบครัวของผมที่อยู่ในรายชื่อรอเป็นคิวถัดไป ได้รับโทรศัพท์ในกลางดึกว่า เราบังเอิญมีเด็กผู้ชาย พวกคุณอยากจะรับเลี้ยงเค้ามั้ย พวกเค้าตอบกลับมาว่า แน่นอน แม่ทางสายเลือดของผมได้มารู้ทีหลังว่าแม่ของผมเรียนไม่จบมหาวิทยาลัย ส่วนพ่อของผมก็เรียนไม่จบระดับมัธยมปลาย เธอปฏิเสธที่จะเซ็นต์ใบยินยอมให้เลี้ยงดูบุตรใบสุดท้าย เธอยอมเซ็นต์ใบอนุญาติในไม่กี่เดือนหลังจากนั้น ตอนที่พ่อแม่ของผมสัญญาว่าวันหนึ่งผมจะได้ไปเรียนมหาวิทยาลัยอย่างแน่นอน

17 ปีหลังจากนั้น ผมได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย แต่ผมเลือกเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่ค่าเทอมแพงพอๆกับ Standford โดยไม่ได้คิดอะไรเลย และเงินเก็บจากพ่อแม่ฐานะชนชั้นกลางก็ถูกใช้จ่ายไปกับค่าเทอมจนเกือบหมด หลังจากนั้น 6 เดือน ผมไม่เห็นคุณค่าอะไรจากสิ่งนี้ ผมไม่รู้เลยว่าชีวิตนี้ผมอยากทำอะไรแล้วมหาวิทยาลัยจะช่วยผมหาคำตอบนี้ได้อย่างไร แล้วนี่ผมก็ได้ใช้เงินที่พ่อแม่ผมเก็บมาทั้งชีวิตหมดไป ดังนั้นผมเลยตัดสินใจที่จะหยุดเรียน แล้วก็เชื่อว่ามันน่าจะเป็นหนทางที่ดี มันค่อนข้างน่ากลัว ณ ตอนนั้น แต่การที่ได้มองย้อนกลับไปมันกลับกลายเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยทำ นาทีที่ผมหยุดเรียน ผมสามารถเลิกเรียนในวิชาบังคับที่ผมไม่ชอบ และได้เข้าเรียนในวิชาที่ผมคิดว่าน่าสนใจ

มันไม่ใช่เรื่องโรแมนติกเลยซักนิด ผมไม่มีห้องในหอพักของตัวเอง เพราะอย่างนั้นผมก็เลยไปนอนบนพื้นห้องของเพื่อนแทน ผมเอาขวดโค้กเปล่าไปแลกเป็นเงิน 5 เซ็นต์ เพื่อนำเงินไปซื้ออาหาร แล้วผมก็ยอมที่จะเดินข้ามเมืองไกลถึง 7 ไมล์ทุกวันอาทิตย์เพียงเพื่อที่จะได้อาหารดีๆ สัปดาห์ละครั้ง ที่โบสถ์ Hare Krishna ผมชอบมันมาก

และสิ่งที่ผมได้ค้นพบโดยบังเอิญและตามมาด้วยการเดินตามความสงสัย และสัญชาตญาณกลับกลายเป็นสิ่งที่หาค่ามิได้ในภายหลัง ผมจะยกตัวอย่างให้ฟังอย่างนึง

มหาวิทยาลัย Reed ณ ขณะนั้น น่าจะเป็นมหาวิทยาลัยที่สอนเรื่องการประดิษฐ์ตัวอักษรที่ดีที่สุดในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นโปสเตอร์ที่ติดอยู่ทั่วมหาวิทยาลัย ป้ายที่แปะอยู่บนลิ้นชักต่างมีงานประดิษฐ์ตัวอักษรด้วยลายมือที่งดงาม เพราะผมได้ดรอปเรียนและไม่ต้องเรียนตามวิชาปกติ ผมตัดสินใจที่จะลงเรียนวิชาประดิษฐ์ตัวอักษรเพื่อจะเรียนรู้วิธีสร้างมัน ผมเรียนเกี่ยวกับตัวอักษรรูปแบบ Serif และ Sans Serif (ตัวหนังสือแบบมีหางและไม่มีหาง) และความหลากหลายของช่องว่างระหว่างตัวอักษร อะไรคือเหตุผลที่ทำให้เกิดงานพิมพ์ตัวอักษรที่เยี่ยมที่สุด มันสวยงาม เป็นประวัติศาสตร์ ดูเป็นงานศิลปะ และประณีตในแบบที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถให้ได้ ผมพบว่ามันน่าตื่นตาตื่นใจมาก

ไม่มีเรื่องไหนในทั้งหมดนี้เป็นความหวังที่ดูเป็นไปได้ให้กับชีวิตผม แต่หลังจากนั้น 10 ปี ตอนที่เราออกแบบเครื่องคอมพิวเตอร์ Macintosh เครื่องแรก เรื่องทั้งหมดเหล่านั้นก็ย้อนกลับมาที่ผม แล้วเราก็ออกแบบมันทั้งหมดในเครื่อง Macintosh มันเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่มีตัวอักษรในการพิมพ์ที่สวยงาม ถ้าผมไม่ได้ลงเรียนซักวิชาในมหาวิทยาลัย เครื่องแมคคงไม่สามารถมีตัวอักษรที่หลากหลายหรือมีสัดส่วนระยะห่างตัวอักษรที่ลงตัวได้ และเพราะว่า Windows เลียนแบบ Mac ก็เป็นไปได้ว่าไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัวเครื่องไหนเลยที่จะมีมันใช้ ถ้าผมไม่ได้ดรอปเรียน ผมคงไม่ได้ลงเรียนในวิชาการสร้างตัวอักษร และเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัวอาจจะไม่มีตัวอักษรที่วิเศษมากเหมือนที่เป็นอย่างทุกวันนี้ แน่นอน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อมต่อจุดโดยการมองไปข้างหน้าในตอนที่ผมยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย แต่มันชัดเจนมากขึ้น มากขึ้น เมื่อมองย้อนกลับไปใน 10 ปีให้หลัง

อีกครั้ง คุณไม่สามารถเชื่อมต่อจุดด้วยการมองไปข้างหน้า คุณสามารถเชื่อมต่อมันก็ต่อเมื่อมองย้อนกลับไปเท่านั้น เพราะฉะนั้น คุณต้องเชื่อมั่นว่าจุดนั้นจะเชื่อมต่อคุณในอนาคต คุณต้องเชื่อใจในบางสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นความกล้าหาญ โชคชะตา ชีวิต กรรม อะไรก็ตามแต่ วิธีการนี้ไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง และมันก็ได้สร้างความแตกต่างทั้งหมดในชีวิตผม

2.ความรักและการสูญเสีย Love and lost

Steve-Jobs-and-Wife
เครดิตภาพจาก https://successstory.com/photos/people/steve-jobs

“The only way to do great work is to love what you do. If you haven’t found it yet, keep looking. Don’t settle.”

ผมโชคดี ผมได้ค้นพบสิ่งที่ผมรักที่จะทำในช่วงเริ่มต้นของชีวิต Woz และผมเริ่มต้นสร้าง Apple ในโรงรถของครอบครัวผมตอนที่ผมอายุ 20 เราทำงานหนักและใน 10 ปี Apple ก็เติบโตจากแค่เรา 2 คนในโรงรถ เป็นบริษัทมูลค่า 2,000 ล้านดอลล่าร์ และมีพนักงานมากกว่า 4,000 คน เราเพิ่งเริ่มปล่อยสิ่งประดิษฐ์ที่ดีที่สุดออกมา Macintosh 1 ปีก่อน และผมก็เพิ่งจะอายุ 30 ปี แล้วผมก็ถูกไล่ออก คุณถูกไล่ออกจากบริษัทที่คุณสร้างได้อย่างไร อันที่จริงแล้ว ตอนที่ Apple เริ่มโต เราได้จ้างใครคนหนึ่งที่ผมคิดว่าเค้ามีความสามารถมากพอที่จะมาบริหารบริษัทกับผม และในช่วงปีแรกทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่หลังจากนั้นมุมมองต่ออนาคตของเราเริ่มสวนทางกัน และพวกเราก็เริ่มแย่ลง เมื่อเป็นเช่นนั้นคณะกรรมการบริษัทก็เลือกที่จะยืนข้างเค้า ฉะนั้นในตอนที่ผมอายุ 30 ผมถูกไล่ออก เป็นการไล่ออกแบบที่ทุกคนรับรู้ด้วย สิ่งที่เคยเป็นจุดสนใจของผมมาทั้งชีวิตหายไป มันเป็นหายนะ

ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะทำอะไรในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า ผมรู้สึกว่าผมได้ทำให้ผู้ประกอบการรุ่นก่อนหน้าผมผิดหวัง ที่ว่าผมได้ทิ้งไม้ต่อที่ถูกส่งผ่านมาที่ผม ผมได้พบกับ David Packard and Bob Noyce และพยายามที่จะขอโทษพวกเค้าที่ผมทำให้ทุกอย่างพังพินาศ ผมกลายเป็นความล้มเหลวแบบที่คนทั้งโลกรู้ และผมเคยคิดกระทั่งว่าอยากจะวิ่งหนีไปจาก the valley แต่บางสิ่งก็เริ่มส่องแสงมาที่ผมอย่างช้าๆ ผมยังคงรักในสิ่งที่ผมทำ ผลที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่ Apple ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมันไปเลยแม้แต่น้อย ผมถูกปฎิเสธ แต่ผมยังคงรักสิ่งเหล่านั้น ผมจึงตัดสินใจที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง

ผมไม่ได้มองเห็นมันต่อจากนั้น แต่มันกลายเป็นว่าการถูกไล่ออกจาก Apple เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับผม ความหนักหนาจากการเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ ถูกแทนที่ด้วยภาระที่เบาบางลงจากการเป็นผู้เริ่มต้นอีกครั้ง ไม่แน่ใจกับทุกๆเรื่อง มันให้เสรีภาพกับผมที่จะเข้าไปสู่ช่วงเวลาที่สร้างสรรค์ที่สุดในชีวิตผม

ในช่วงเวลา 5 ปีถัดมา ผมได้เริ่มต้นสร้างบริษัทที่ชื่อว่า Next และอีกบริษัทหนึ่งชื่อว่า Pixar และก็ได้ตกหลุมรักกับผู้หญิงที่น่าอัศจรรย์คนที่กลายมาเป็นภรรยาของผม Pixar ดำเนินการสร้างหนังการ์ตูนแอนิเมชั่นจากคอมพิวเตอร์เรื่องแรกของโลก Toy Story และตอนนี้ก็กลายเป็นสตูดิโอผลิตหนังแอนิเมชั่นที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก ในช่วงที่น่าจดจำจากผลของเหตุการณ์นั้น Apple ซื้อ Next ผมได้กลับไปทำงานที่ Apple และเทคโนโลยีที่เราพัฒนาที่ Next ก็กลายเป็นหัวใจหลักในยุคเฟื่องฟูของ Apple ณ ขณะนั้น แล้ว Laurene กับผมก็ได้มีครอบครัวที่แสนวิเศษด้วยกัน

ผมค่อนข้างแน่ใจว่าเรื่องทั้งหมดนี้คงจะไม่เกิดขึ้นถ้าผมไม่ได้ถูกไล่ออกจาก Apple มันเป็นเหมือนยาที่รสชาติน่ากลัว แต่ผมเดาว่าคนไข้ต้องการมัน บางครั้งชีวิตก็เล่นตลกกับคุณ อย่าเสื่อมศรัทธา ผมเชื่อว่าสิ่งเดียวที่ทำให้ผมยังคงมีแรงเดินต่อคือการที่ผมรักในสิ่งที่ผมทำ คุณจะต้องค้นหาสิ่งที่คุณรัก และจริงใจกับงานของคุณเหมือนกับความจริงใจที่คุณมีต่อคนรัก งานของคุณจะกลายเป็นชิ้นส่วนใหญ่ของชีวิตคุณ และทางเดียวที่คุณจะยอมทำทุกอย่างเพื่อมันได้ คือการทำในสิ่งที่คุณเชื่อว่าเป็นงานที่ดีเยี่ยม และการที่จะสร้างผลงานที่ดีเยี่ยมคือการที่คุณรักในสิ่งที่คุณทำ ถ้าคุณยังหามันไม่เจอ จงมองหาต่อไป อย่าเพิ่งยอมแพ้ จากพลังทั้งหมดของหัวใจ คุณจะรู้ได้เมื่อคุณค้นพบมันแล้ว มันก็เหมือนกับความสัมพันธ์ที่ยิ่งใหญ่ มันจะดีขึ้นเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า เพราะฉะนั้นจงมองหามันจนกว่าคุณจะเจอ อย่ายอมแพ้

3. ความตาย Death

“If today were the last day of my life, would I want to do what I am about to do today?”

ตอนที่ผมอายุ 17 ผมได้อ่านคติพจน์ ที่กล่าวประมาณว่า “ถ้าคุณใช้ชีวิตในแต่ละวันเหมือนเป็นวันสุดท้ายของคุณ วันหนึ่งสิ่งที่คุณทำจะกลายเป็นเรื่องที่ใช่” ประโยคนั้นประทับใจผมมาก และตั้งแต่นั้นมา เป็นเวลา 33 ปีแล้ว ผมได้มองเข้าไปในกระจกทุกๆเช้าและถามตัวเองทุครั้งว่า “ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตผม ผมจะอยากทำในสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ทุกวันนี้หรือไม่” และเมื่อไหร่ที่คำตอบออกมาเป็น ไม่ใช่ หลายวันติดต่อกัน ผมรู้ว่าผมต้องเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่าง

การจำไว้ว่าผมกำลังจะตายในเร็ววันนี้ คือเครื่องมือที่สำคัญที่สุดที่ผมพบว่ามันช่วยในการตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิตผม เพราะเกือบทุกอย่าง ความคาดหวังทั้งมดจากภายนอก ความภาคภูมิใจ ความกลัวกับการน่าขายหน้าหรือความล้มเหลว สิ่งเหล่านี้พลันหายไปเมื่อได้เผชิญหน้ากับความตาย เหลือไว้เพียงแค่สิ่งที่สำคัญจริงๆ จงจำไว้ว่าการที่คุณกำลังจะตายคือวิธีที่ดีที่สุดที่ผมได้รู้จักเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงกับดักทางความคิดว่าคุณมีสิ่งที่จะต้องสูญเสีย คุณได้เปลือยเปล่า มันไม่มีเหตุผลเลยที่จะไม่ทำตามที่หัวใจเรียกร้อง

เมื่อปีก่อน ผมได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง ผมไปทำการสแกนตอน 7.30 ในช่วงเช้า มันเห็นชัดว่ามีเนื้องอกอยู่ที่ตับอ่อน ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตับอ่อนคืออะไร หมอบอกผมว่านี่เป็นมะเร็งชนิดที่รักษาไม่ได้ และผมก็น่าจะอยู่ได้ไม่เกิน 3-6 เดือน หมอแนะนำให้ผมกลับบ้านไปจัดการเรื่องสถานะให้เรียบร้อย เหมือนจะบอกเป็นนัยว่าให้เตรียมตัวรับมือกับความตาย แปลว่าให้ไปสั่งเสียลูกทุกเรื่องราวที่คุณอยากจะบอกในอีก 10 ปีข้างหน้า โดยใช้เวลาแค่ 2-3 เดือนเท่านั้น หมายความว่าให้จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเพื่อให้มันง่ายกับครอบครัวของคุณ หรือจะแปลได้อีกอย่างว่าถึงเวลาที่จะต้องบอกลากันแล้ว

ผมจมอยู่กับผลวินิจฉัยนั้นทั้งวัน หลังจากนั้นในช่วงเย็นผมได้ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ ที่ที่เค้าเอาเอากล้อง endoscope ใส่ลงไปที่ลำคอของผม ผ่านช่องท้องไปที่ลำไส้ ใช้เข็มเจาะไปที่ตับอ่อนเพื่อเก็บตัวอย่างเซลล์จากเนื้องอกนั้น ผมเงียบไป แต่ภรรยาของผมที่อยู่ตรงนั้นบอกกับผมว่าตอนที่หมอเห็นเซลล์นั้นผ่านกล้องจุลทรรศน์ หมอก็เริ่มร้องไห้ออกมาเพราะมันเป็นมะเร็งตับอ่อนที่หายากมากและสามารถรักษาได้โดยการผ่าตัด ผมได้รับการผ่าตัดแล้ว ผมสบายดี

นี่เป็นเหตุการณ์ใกล้กับความตายมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเผชิญมา และผมหวังว่ามันจะเป็นเพียงเรื่องเดียวที่ผมได้เจอในอีกช่วง 10 กว่าปีนี้ การที่ใช้ชีวิตผ่านเรื่องนี้มาได้ ผมสามารถบอกกับพวกคุณได้อย่างเต็มปากว่าความตายไม่ได้เป็นแค่สิ่งที่มีประโยชน์ แต่มันเป็นแนวคิดทางสติปัญญาอันบริสุทธิ์ด้วย

ไม่มีใครอยากตาย แม้แต่คนที่อยากจะไปอยู่บนสวรรค์ก็ไม่ได้อยากตายเพื่อไปให้ถึงที่นั่น และความตายคือจุดหมายปลายทางที่เราทุกคนต่างใช้ร่วมกัน ไม่มีใครหนีมันพ้น และมันก็เป็นอย่างนั้นเอง เพราะความตายเป็นเหมือนกับสิ่งประดิษฐ์ที่ดีที่สุดของชีวิต มันเป็นตัวแทนความเปลี่ยนแปลงของชีวิต มันช่วยขจัดสิ่งเก่าและสร้างเส้นทางสำหรับสิ่งใหม่ขึ้นมา ณ ตอนนี้สิ่งใหม่คือพวกคุณ แต่วันใดวันหนึ่งไม่นานต่อจากนี้ คุณจะกลายเป็นสิ่งเก่าแล้วก็หายไป ขอโทษที่ต้องดราม่า แต่มันคือเรื่องจริง

เวลาของคุณมีจำกัด เพราะฉะนั้นอย่าเสียเวลาใช้ชีวิตตามแบบชีวิตของคนอื่นเลย อย่าติดกับดักจากความเชื่อ ซึ่งก็คือการใช้ชีวิตตามแบบผลลัพธ์ของความคิดคนอื่น อย่าปล่อยให้เสียงรบกวนจากความคิดเห็นของคนอื่นมาทำให้คุณไม่ได้ยินเสียงจากข้างในตัวเอง และที่สำคัญที่สุด จงมีความกล้าที่จะทำตามหัวใจและสัญชาตญาณของคุณ พวกมันอาจจะรู้แล้วว่าแท้ที่จริงคุณอยากเป็นอะไร แล้วสิ่งที่เหลือก็ไม่สำคัญแล้ว

ตอนที่ผมยังเป็นวัยรุ่น มีสื่อสิ่งพิมพ์ที่แสนวิเศษเล่มหนึ่งชื่อว่า The Whole Earth Catalog

ThewholeEarthCatalog
เครดิตภาพจาก http://rs.resalliance.org/wp-content/uploads/2009/02/pageexample.jpg

มันเป็นเหมือนคัมภีร์ไบเบิลของคนรุ่นผม ถูกสร้างโดยเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่ชื่อว่า Stewart Brand อยู่ที่ Menlo Park ไม่ไกลจากจากที่นี่นัก เขาทำให้มันมีชีวิตขึ้นด้วยสัมผัสแบบบทกวี มันเกิดขึ้นในปลายยุค 1960s ก่อนที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและแบบตั้งโต๊ะจะถือกำเนิดขึ้น เพราะฉะนั้นสิ่งพิมพ์เล่มนี้มันจึงถูกสร้างขึ้นมาจากเครื่องพิมพ์ดีด กรรไกร และกล้องโพลารอยด์ มันดูคล้ายๆกับ Google ในรูปแบบของหนังสือเมื่อ 35 ปีก่อนที่ Google จะเกิดตามมา มันดูเหนือจินตนาการและเต็มไปด้วยการใช้เครื่องมือแบบสุดเนี๊ยบและการใช้ความนึกคิดที่สุดยอด

Stewart และทีมงานของเค้าช่วยกันทำ The Whole Earth Catalog ออกมาหลายฉบับ และเมื่อมันมาถึงกำหนดตามที่แพลนเอาไว้ พวกเค้าก็ทำเล่มสุดท้ายออกมา ในช่วงกลางยุค 1970s ตอนที่ผมอายุเท่าพวกคุณ บนปกหลังของเล่มสุดท้ายเป็นเป็นภาพถ่ายของถนนแถบชนบทในยามเช้าตรู่ เป็นภาพแนวที่คุณจะได้พบเวลาที่คุณโบกรถเดินทางไปเรื่อยๆ ถ้าคุณเป็นคนที่รักการผจญภัยมากๆ ใต้ภาพนั้นเขียนไว้ว่า “จงหิวกระหาย จงโง่เขลา” มันเป็นคำร่ำลาสุดท้ายที่เค้าให้ไว้ตอนที่พวกเค้าเลิกทำสิ่งพิมพ์นั้น จงหิวกระหาย จงโง่เขลา และผมก็อวยพรให้ตัวเองแบบนั้นอยู่เสมอ และตอนนี้ ในขณะที่พวกคุณกำลังจบการศึกษาเพื่อไปเริ่มต้นใหม่ ผมขออวยพรให้คุณ “จงหิวกระหาย จงโง่เขลา”

 

ขอบคุณทุกคนมากๆ

 

บทสรุป ข้อคิดในการใช้ชีวิตจาก Steve Jobs ที่เราสามารถนำปรับใช้ได้

ในสุนทรพจน์นี้ Steve Jobs ได้สอนเอาไว้ 3 เรื่องคือ

1.Connecting the dots

การเชื่อมต่อจุด

“คุณไม่สามารถเชื่อมต่อจุดด้วยการมองไปข้างหน้า คุณสามารถเชื่อมต่อมันก็ต่อเมื่อมองย้อนกลับไปเท่านั้น เพราะฉะนั้นคุณต้องเชื่อมั่นว่าจุดนั้นจะเชื่อมต่อคุณในอนาคต”

ประโยคนี้มันหมายถึงการเชื่อมั่นว่าสิ่งที่คุณกำลังทำในวันนี้จะส่งผลไปถึงอนาคตข้างหน้าของคุณ ซึ่งคุณควรจะมองเห็นอนาคตข้างหน้าว่าอยากให้มันเป็นอย่างไร แล้วก็สร้างจุดของตัวเองในวันนี้ทีละจุดเพื่อให้มันนำไปสู่อนาคตที่คุณได้วางเอาไว้ มันอาจจะดูเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก แต่พอเราได้ลองทำกลับพบว่าเราเองก็กำลังเชื่อมต่อจุดของเราอยู่เหมือนกัน เช่น เราเป็นกราฟฟิกดีไซน์เนอร์ แล้วรู้สึกว่าโลกเทคโนโลยีมันเปลี่ยนไปเร็วมาก แล้วเราจะเป็นแค่กราฟฟิกเฉยๆหรอ เราเลยหันมาศึกษาเรื่องเว็บไซท์และเทคโนโลยีดิจิตอลเพิ่มขึ้น จากนั้นเราเลยได้เปลี่ยนอาชีพมาเป็นฟรีแลนซ์ทำเว็บไซท์แทน และอยากจะเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้ด้วยเลยทำคอนเท้นท์ที่เกี่ยวข้องขึ้นมาเพื่อให้คนทั่วไปได้เข้าใจมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นคือเราเชื่อว่าสิ่งที่เราทำในวันนี้จะทำให้คนไทยก้าวทันกระแสโลกได้ในอนาคตด้วย

2. Love and lost.

ความรักและการสูญเสีย

“การที่จะสร้างผลงานที่ดีเยี่ยมคือการที่คุณรักในสิ่งที่คุณทำ ถ้าคุณยังหามันไม่เจอ จงมองหาต่อไป อย่าเพิ่งยอมแพ้”

อย่าเสื่อมศรัทธา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิตคุณ ก็ขอให้คุณเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณทำว่ามันดีจริงๆ รักในสิ่งที่ทำแล้วคุณจะไม่มีวันเสียใจเลย ถ้ายังไม่เจอก็จงออกตามหาต่อไป อย่ายอมแพ้ อย่างเราก็ไม่เคยรู้ว่าชีวิตนี้ต้องการอะไร หรืออยากจะทำอะไรจริงๆ แต่เราเป็นคนประเภทที่ว่าชอบลอง อะไรที่อยากทำก็ลองไปทำ อยากทำเสื้อผ้าขายก็ไปทำ อยากขายขนมก็ไปขาย อยากไปใช้ชีวิตต่างประเทศก็ไป ถึงแม้ว่าผลลัพธ์มันจะไม่เวิร์คเลยซักครั้ง แต่อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าอะไรที่เราชอบทำ ไม่ชอบทำ และประสบการณ์ที่ได้รับที่ไม่ว่าจะมีเงินเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้ จนมาถึงวันนี้วันที่เราเจอมัน แล้วก็ได้เข้าใจว่าการที่เราจะยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่องานที่รักได้นั้นมันรู้สึกยังงัย

3. Death

ความตาย

“ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตคุณ คุณจะอยากทำในสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ทุกวันนี้หรือไม่”

ประโยคนี้เตือนสติเราได้ดีมากเลย แค่เพียงประโยคเดียวก็ทำให้เกิดคำถามขึ้นมากมาย เหมือนมันกำลังบอกว่าสิ่งที่เราทำอยู่ตอนนี้มันเสียเวลารึเปล่า แล้วสิ่งที่เราอยากทำจริงๆคืออะไร แล้วทำไมถึงไม่ทำ เรารออะไรอยู่หรอ รอให้โอกาสมันวิ่งเข้ามาหาใช่หรือไม่ ซึ่งจริงๆแล้วทุกอย่างมันไม่ได้หล่นลงมาจากฟ้า เราต่างหากที่ต้องเป็นคนสร้างมันขึ้นมา เป็นคนทำให้มันเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นในวันที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ทำไมเราถึงไม่เริ่มสร้างงานที่เราอยากทำขึ้นมาล่ะ

คำสอนที่ Steve Jobs ได้ให้ไว้นั้นช่วยแนะแนวทางให้ชีวิตได้อย่างดีมาก ทำให้เข้าใจชีวิตมากขึ้น และเป็นพลังที่ส่งต่อไปถึงคนรุ่นหลังอย่างเราๆได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร มาจากไหน หรือทำอะไร ขอให้คุณมีศรัทธาอันแรงกล้า เชื่อมั่นว่าสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่นั้นมีประโยชน์ทั้งต่อตัวเองและต่อสังคม แล้วมันจะไม่เป็นการเสียเวลาเลยที่คุณได้ใช้ชีวิตในแบบที่คุณเลือก และเมื่อวันสุดท้ายในชีวิตมาถึงคุณก็ไม่มีอะไรจะต้องเสียดาย เพราะถือว่าคุณได้เกิดมาและใช้ชีวิตได้อย่างคุ้มค่าแล้ว

เพื่อนคนไหนสนใจอ่านหนังสืออัตชีวประวัติของ Steve Jobs แบบเต็ม และเรื่องราวที่เกี่ยวข้องด้วย ขอแนะนำไปที่นี่ 5 หนังสือแนะนำสำหรับการเป็น Online Entrepreneur