มาทำความรู้จักกับ Digital Nomad ตัวเป็นๆ กันดีกว่า

Digital Nomad คือ

Digital Nomad คือ คนที่ใช้ชีวิตอยู่ตามสถานที่ต่างๆของโลก ส่วนอาชีพก็คือการทำทุกอย่างที่ได้เงินโดยใช้ระบบออนไลน์ เพียงแค่มีแล็ปท็อปกับอินเตอร์เน็ท เพียงเท่านี้ก็สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้แล้ว บางคนอาจจะทำ E-commerce, Freelance, Remote Work ซึ่งไลฟ์สไตล์แบบนี้มันสนุกตรงที่สามารถทำงานด้วยแล้วก็เที่ยวด้วยได้ อย่างภาพที่เราเห็นกันจนคุ้นตา เช่น

การเปิดแล็ปท็อปนั่งทำงานจิบคอกเทลอยู่ริมชายหาดสวยๆ หรือจะเป็นแบบมีแล็ปท็อปตั้งอยู่ริมสระน้ำ แนวว่าทำงานเสร็จแล้วก็โดดลงน้ำตูมได้เลย ไปจนถึงการนั่งทำงานกันที่ร้านกาแฟและ Co-Working Space ชิลๆ โดยไม่ได้จำกัดว่าต้องนั่งทำงานแต่ในออฟฟิศเท่านั้น เฮ่ย มันเจ๋งว่ะ ถ้าใครอยากเข้าใจ Concept ของ ดิจิตอลโนแมด ให้ลึกซึ้งมากขึ้น แนะนำให้ไปอ่านหนังสือ The 4 Hour Work Week จาก Tim Ferris เหล่าโนแมดเค้าบอกกันว่ามันเปรียบเสมือนคัมภีร์ไบเบิลของไลฟ์สไตล์นี้เลย

Digital Nomad คือ

ตัวอย่างอาชีพสำหรับการเป็น Digital Nomad

  • E-Commerce เช่น การทำ Dropshipping, Amazon FBA, รวมๆก็คือ การทำธุรกิจค้าขายสินค้าออนไลน์
  • Online Service Agency เป็นการรับทำเซอร์วิสเช่น การทำ Marketing Online หาลูกค้าออนไลน์ และมีทีมงานที่ใช้ชีวิตอยู่ตามสถานที่ต่างๆของโลก
  • Freelancer อาชีพรับจ้างอิสระ มีหลากหลายมากเช่น Web Developer, Designer, Copy Writer ไปจนถึง ช่างภาพ คนตัดวิดีโอ เป็นต้น
  • Online Entrepreneur เจ้าของกิจการออนไลน์ เช่น คนที่สร้างคอนเท้นท์อย่าง Blogger, Youtuber และอื่นๆ
  • ธุรกิจ Tech Start Up การสร้างแอพพลิเคชั่น แพลทฟอร์มต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้คนจำนวนมาก
  • Remote Work เป็นการทำงานกับบริษัทหลักๆที่ไหนซักแห่ง แต่สามารถทำงานและส่งงานผ่านระบบออนไลน์ได้
  • Coaching โค้ชที่สอนเรื่องการพูด การใช้ชีวิต ไปจนถึงคนที่สอนเกี่ยวกับการสร้างธุรกิจ
  • Developer คนที่เขียนโปรแกรม สร้างปลั๊กอิน และอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี

อยากเข้าใจรายละเอียดของอาชีพเหล่านี้มากขึ้น ตามมาที่นี่เลยค่ะ อาชีพออนไลน์ยุค 4.0

วิถีของอาชีพและไลฟ์สไตล์นี้คือ งานอะไรก็ได้ที่สามารถสร้างรายได้ได้มากพอกับค่าใช้จ่าย ซึ่งถ้าประเทศที่เค้าใช้ชีวิตอยู่ในขณะนั้นมีค่าครองชีพที่ต่ำ เค้าก็ไม่จำเป็นต้องทำงานหนักๆเพื่อให้มีรายได้สูงๆแล้ว และอีกข้อคือเค้าหารายได้กันเป็นเงินดอลล่าร์ แต่มาใช้ชีวิตในประเทศที่ค่าครองชีพต่ำกว่าอย่างเช่นเมืองไทยที่ใช้เงินบาท ความได้เปรียบของค่าเงินก็มีส่วนสำคัญ ทั้งหมดนี่คือเหตุผลที่จะทำให้พวกเค้าสามารถมาใช้ชีวิตแบบนี้กันได้แล้ว

เมืองที่เหล่า Digital Nomad นิยมไปใช้ชีวิตกัน

1. เชียงใหม่

จัดว่าเป็นแหล่งใหญ่ที่สุดของดิจิตอลโนแมดเลย มีทุกระดับเลเวล ตั้งแต่ Beginner, Intermediate ไปจนถึง Advance สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นการเป็นดิจิตอลโนแมด จะชอบมากันที่เชียงใหม่เพราะค่าครองชีพถูก อาหาร ที่พัก มีให้เลือกทุกรูปแบบ อากาศดีไม่หนาว มี Co-Working Space ดีๆให้เลือกใช้บริการ มี Wifi แรง และมีกลุ่มคนที่สามารถให้คำแนะนำช่วยเหลือ และแลกเปลี่ยนความเห็นกันได้ ที่สำคัญคือ เชียงใหม่เป็นเมืองเล็กๆที่ทำให้คนสามารถวนมาเจอกันอีกได้

2. กรุงเทพมหานคร

เหตุผลคล้ายๆเชียงใหม่ มีแหล่งช็อปปิ้งและไนท์ไลฟ์ให้เลือกเพียบ แต่บางคนเลือกจะอยู่ที่กรุงเทพฯเพราะการเดินทางสะดวก ใช้ชีวิตอยู่ตามรางรถไฟฟ้า และง่ายต่อการขึ้นเครื่องบินไปเที่ยวตามจังหวัดต่างๆ และการไปเที่ยวต่างประเทศ

3. บาหลี อินโดนีเซีย

เป็นอีกเมืองยอดนิยมที่จะได้เจอเหล่าโนแมดแบบตัวเป็นๆ เพราะมีอากาศดี มีธรรมชาติป่าๆเขียวๆ และมีทะเล ค่าครองชีพก็ไม่แพง หลายๆคนที่เริ่มเบื่อเชียงใหม่ก็ย้ายไปอยู่บาหลีกัน

4. เบอร์ลิน เยอรมัน

เป็นแหล่งรวมดิจิตอลโนแมดมากที่สุดในยุโรป เพราะที่นี่ค่าครองชีพถูกกว่าเมืองดังๆอย่าง ลอนดอน หรือปารีส จึงเหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษา ศิลปิน เจ้าของธุรกิจ สตาร์ทอัพ และฟรีแลนซ์ แถมที่เบอร์ลินยังมีจำนวน Co-Working Space มากมายให้เลือกอีกด้วยนะ

5. เมดเดลลิน โคลอมเบีย

ที่รวมโนแมดมากที่สุดในโซนอเมริกาใต้ เนื่องด้วยสภาพอากาศที่ไม่หนาวและมีภูเขา มีธรรมชาติให้ชม แถมค่าครองชีพก็ถูกพอๆกับโซนเอเชียตะออกเฉียงใต้แบบบ้านเรานี่ล่ะ บ้านเมืองเค้าก็เริ่มพัฒนาแล้ว มีรถไฟฟ้าใช้ ที่สำคัญคืออยู่ไม่ห่างจากอเมริกาเท่าไหร่ ถ้าเค้ายังไม่อยากข้ามซีกโลกเค้าก็จะมาลองเชิงกันที่โคลอมเบียเป็นที่แรก

ถ้าดูจากจำนวน Co-Working Space ที่มีอยู่ทั่วโลกในตอนนี้แล้วคงตกใจมาก คือมันเยอะมากจริงๆ นั่นแปลว่าจำนวนคนที่หันมาใช้ชีวิตแบบ Remote Work ทำงานจากระยะไกล ใช้ระบบออนไลน์ในการใช้ชีวิตกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เราต้องหันกลับมาคิดว่า เอ๊ะ เราควรทำงานที่ออฟฟิศกันต่อไปจริงๆรึเปล่า มีตัวเลือกอื่นบ้างมั้ย

งาน Meeting ของเหล่า ดิจิตอลโนแมด

คราวนี้มาลองเจอเหล่า Digital Nomad ตัวเป็นๆกันดีกว่า แล้วเราจะเจอพวกเขาเหล่านั้นได้ยังงัย นั่นคือคำถามที่ทุกคนสงสัยใช่มั้ยคะ เจอได้ที่งานนี้เลย ทุกปีจะมีงานสัมนาจัดที่เชียงใหม่ ชื่อว่างาน Nomad Summit ซึ่งเค้าจัดติดต่อกันมาปีนี้ก็เป็นปีที่ 4 แล้ว จัดตั้งแต่ตอนที่มีคนมาร่วมหลักสิบคน จนตอนนี้เทรนด์นี้เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น ทำให้คนมาร่วมงานในปีนี้มีมากถึง 400 คนเลยทีเดียว นำทีมโดย Johny FD คนที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการจัดงาน

Nomad Summit 2018

Nomad-Summit-2018งานนี้เป็นงานที่รวมตัวเหล่า ดิจิตอลโนแมด มากที่สุดเลยก็ว่าได้ ซึ่งภายในงานจะมีทั้งคนที่เป็นนักท่องเที่ยวที่สนใจวิถีชีวิตแบบนี้ และคนที่เป็น ดิจิตอลโนแมดอยู่แล้ว แต่อยากได้ความรู้และคอนเน็กชั่นเพิ่มเติม และมีอีกหลายคนที่ตั้งใจบินมาจากทั่วโลกเพื่อมาร่วมงานนี้กัน

สไตล์การแต่งตัวของคนที่มางานจะเป็นแบบลำลอง ไม่ได้เป็นทางการมาก เสื้อยืด กางเกงยีนส์ก็มาได้ ไปจนถึงกางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ จะชิลอะไรขนาดนั้นกันคะ ที่แน่ๆคือไม่มีสูทผูกไทด์ เพราะมันไม่เข้ากับคอนเซ็ปท์ของโนแมดเนอะ

Nomad-Summit-2018-3

นี่แอบมาสำรวจที่งานนี้เป็นปีที่สองแล้ว อยากรู้ว่าพวกเค้ามาทำอะไรกัน และมันคงตลกมากที่เค้ามาทำอะไรสนุกๆกันที่เมืองไทย แต่เราคนไทยดันไม่เข้าใจว่าเค้ามาทำอะไรที่นี่ ก็เลยต้องเข้ามาร่วมงานเพื่อให้ได้เห็นกับตา และได้ทำความรู้จักกับพวกเค้าแบบจริงจังให้ได้ ค่าบัตรก็ราคาเริ่มต้นที่ $100 แพงพอๆกับบัตรคอนเสิร์ตเลย แต่ความรู้สึกที่ได้กลับไปมันคุ้มค่ามาก

ปีแรกที่มารู้สึกได้ว่าตัวเองเป็นคนไทยคนเดียวในงาน ก็มีคนทักนะว่ายูมาทำอะไรที่นี่ ช่วงนั้นยังเพิ่งเริ่มต้นศึกษาเรื่องนี้เอง มาปีนี้ก็พร้อมกว่าเดิม ไปทำรีเสิร์ชหาข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์นี้ แล้วก็อัพเดทสกิลที่เกี่ยวข้องกับ Online Business ไว้ด้วย เช่นการทำเว็บดีไซน์ เขียนคอนเท้นท์ เพราะอยากจะเข้าถึงให้ได้มากที่สุด แล้วก็อยากได้คอนเน็คชั่นเจ๋งๆแบบอินเตอร์สะสมเอาไว้ด้วย

กลับมาที่เรื่องงานนี้เนาะ จุดประสงค์ที่เค้าจัดงานนี้ขึ้นมาก็เพราะว่าอยากจะสร้างเครือข่ายให้กับเหล่าโนแมดทั้งหลายได้มาทำความรู้จักกัน บางคนที่ได้เจอกันในงานนี้ก็กลายมาเป็นพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจกันก็มี และเป็นการช่วยให้คนในสายงานต่างๆมาเจอกันแล้วก็มีการจ้างงานกันเกิดขึ้น

มีการนำเอาตัวอย่าง Digital Nomad เจ๋งๆมาให้แนวคิดและช่วยจุดประกายไอเดียให้กับคนที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งบอกได้เลยว่ามันเป็นความรู้ที่ไม่ได้มีสูตรสำเร็จอยู่ในหนังสือ หรือในมหาวิทยาลัยเพราะมันคือการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในการทำธุรกิจที่มีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลาในช่วง 5 ปีมานี้เอง ข้อมูลต่างๆเลยอยู่ตาม Blog Post, Youtube Channel, Website และ Course Online ที่มาจากประสบการณ์ของพวกเค้าเหล่านี้นี่เอง

ในงานจะมี Speaker 8 คน จะมาพูดเรื่องราวของ Independent Location Business ที่สามารถทำงานด้วยเที่ยวด้วยได้ ซึ่งก็คือหัวใจหลักของการเป็น ดิจิตอลโนแมด

Digital Nomad ที่ได้เจอในงานนั้นมีทั้งแบบเบสิค รายได้หลัก $100 -$1000 ต่อเดือน แบบแอดวานซ์ เลข 5 หลักต่อเดือน ไปจนถึงสุดยอดของ Nomad ที่สามารถสร้างธุรกิจหลักล้านดอลล่าร์แล้วแต่ความสามารถของแต่ละคน ที่งานมีคนที่ทำหลากหลายแนว หลากอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ E-Commerce, Plarform สตาร์ทอัพ, Youtuber และเซอร์วิสที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิตอล

ตัวอย่างและเรื่องราวที่เหล่า Speaker ได้มาแชร์กันเค้ารวบรวมเอาไว้ที่นี่ค่ะ

Nomad-Summit-2018-2อยากเป็น Digital Nomad ต้องทำอย่างไรบ้าง

1.ต้องมีทักษะความสามารถที่เกี่ยวข้องกับดิจิตอล เทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นการเขียนโปรแกรม เขียนโค้ดดิ้งต่างๆ ทำเว็บไซท์ การตลาดออนไลน์ หรือจะเป็นแนว Influencer ก็ได้เช่นกัน

2.ต้องเก่งภาษาอังกฤษ เพราะข้อมูลจาก Real Digital Nomad ส่วนใหญ่ใช้ภาษาอังกฤษกันทั้งนั้น ตั้งแต่วิธีการหาอาชีพ แนวคิดในการทำงาน ไอเดียในการสร้างธุรกิจและสร้าง Passive Income ลองเสิร์ชดูคำว่า Make money online กันดูนะคะ

3.ชอบคุย ชอบทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ๆ เพราะวิธีการนี้คือการสร้าง Connetion ทั้งการหาลูกค้าและการหาพาร์ทเนอร์มาช่วยทำงาน ทำธุรกิจ และช่วยให้ทุกเรื่องมันลื่นไหลขึ้นเพราะได้แนวคิด คำแนะนำหลากหลายมาปรับใช้ในงานตัวเอง

4.มีความ Independent สูง อิสระ ไม่ยึดติดกับอะไรใดๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ ถิ่นที่อยู่ การแต่งกาย พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงโยกย้ายสถานที่ตลอดเวลา แล้วแต่แผนการเดินทางของแต่ละคน อีกเหตุผลที่ทำให้เค้ามาอยู่กันยาวๆไม่ได้ ต้องออกนอกประเทศบ้างก็เพราะเรื่องวีซ่านี่ล่ะค่ะ มาอยู่ไทยได้ เข้าประเทศได้เลยแต่อยู่ได้แค่ 90 วัน หรือ 180 วัน

แล้วก็ต้องแวะออกไปเที่ยวประเทศอื่นๆในละแวกนี้บ้างซักอาทิตย์นึง อย่างเช่น ลาว พม่า ฮ่องกง บาหลี แล้วก็กลับเข้ามาใช้ชีวิตในเมืองไทยใหม่ จริงๆมันก็เป็นเรื่องสนุกทีเดียวสำหรับคนที่ชอบการท่องเที่ยวเป็นทุนอยู่แล้ว

5.มีแล็ปท็อปเป็นของตัวเอง พร้อมที่จะหิ้วไปทำงานตามที่ต่างๆได้ อย่างเช่น ขั้วโลก อ่าว ไม่ใช่ละ เช่น ริมทะเล ริมภูเขา วิวโรงแรมดีๆ ไปจนถึงบนเรือสำราญ

6.มีความเป็นผู้นำ เนื่องด้วยว่างานสไตล์นี้จะค่อนข้างอิสระ แต่เราก็ต้องมีวินัยในตัวเองเพื่อที่จะทำงานให้เสร็จตามเป้า แล้วก็ต้องเป็น Leader ให้ตัวเอง เช่นว่า ชั้นจะตัดสินใจแบบนี้นะ ชั้นจะเลือกเดินทางนี้ มีความคิดเป็นของตัวเองสูง และมีความเป็นนักสู้เพราะการจะได้มาซึ่งเงินและความอิสระนั้น ก็ต้องแลกกับความเหนื่อย ความล้มเหลวและอุปสรรคเยอะน่าดูทีเดียว

ความต่างของ Digital Nomad กับนักท่องเที่ยว

Digital Nomad คือ ทำงานไปด้วยขณะที่ใช้ชีวิตไปด้วย สร้างระบบให้ตัวเองใช้เวลาในการทำงานน้อยที่สุด แต่นักท่องที่ยวคือเก็บเงินเป็นก้อนแล้วเอามาเที่ยวพักผ่อนยาวๆ 2-3 เดือน โดยไม่จำเป็นต้องทำงานเลยก็ได้ อย่างคนที่เกษียณแล้วและอยากมาใช้ชีวิตชิลๆ ไม่ต้องทำงานก็จัดให้เป็นนักท่องเที่ยวเช่นกันค่ะ

ระดับของ Digital Nomad

เลเวลนี้วัดจากจำนวนเงินที่เค้าหาได้ และความยาวนานในการใช้ชีวิตแบบนี้ สำรวจโดย Napat เอง และนี่คือตัวอย่าง Nomad ที่เจอในงานนี้นะคะ

Beginner

John and Shawn จาก Canada รายได้หลักพันต้นๆดอลล่าร์ ต่อคน ต่อเดือน

สร้าง Service Business ได้ 6 เดือน

เพิ่งเรียนจบปริญญาตรีกันหมาดๆเลย บินตรงมาจากแคนาดา คนนึงเป็น Digital Marketer อีกคนเป็น Web Developer และเค้ามีทีมงานอีก 2-3 คนที่คอยช่วยงานแบบฟรีแลนซ์

Intermediate

Tijmen Smit จาก Netherland รายได้หลักพันกลางๆ ดอลล่าร์ ต่อเดือน บินมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ และจะอยู่ที่เชียงใหม่ 2 เดือน

เป็น Developper สร้างปลั๊กอินที่ใช้กับ WordPress ชื่อว่า Wp Store Locator รายได้มาจากคนที่ซื้อ Extension

Advance

Johny FD จาก USA รายได้หลักหมื่นดอลล่าร์ ต่อเดือน และส่วนใหญ่รายได้เป็นแบบ Passive Income และมีรายได้มาจากหลายช่องทาง อยู่เมืองไทยมานานกว่า 4 ปี ปีที่แล้วก็ออกเดินทางไปแถบอเมริกา ยุโรป แล้วก็วนกลับมาจัดงานนี้ที่เชียงใหม่

อาชีพเป็น Blogger, ธุรกิจ E-Commerce, Affiliate Marketing, Investor, Entrepreneur

สุดยอด on Top ระดับหลักล้านดอลลาร์

J Keitsu จาก USA สร้างรายได้หลัก $2,000,000 ตอนนี้อยู่ที่เชียงใหม่

ทำธุรกิจ E-Commerce ที่เจ๋งมาก เป็นหนึ่งใน Speaker ที่พูดบนเวที และเค้ายังบอกอีกว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ เค้าทำธุรกิจออนไลน์เจ๊งไป 3 รอบแล้ว แต่เค้าไม่ยอมแพ้ สู้สุดใจจนสำเร็จ มีทริคเล็กๆน้อยๆสำหรับการขายของคือ การใช้แคปชั่นให้ดูน่าสนใจและการทำ Upsell ซื้อ 2 แถม 4 ประมาณนี้ค่ะ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ บางคนชีวิตอาจจะดูเว่อมาก ไม่น่าจะเป็นจริงได้ แต่จากการที่ใช้เวลาส่องชีวิตของพวกเค้ามาเป็นเวลาปีนึงก็ทำให้เห็นว่า สิ่งที่เค้าบอกมันเป็นไปได้ บางคนก็มีการแจกแจงรายละเอียดของรายได้มาให้ดูทุกเดือนเลยก็มี และที่สำคัญคือพวกเค้าเที่ยวตลอดเวลาด้วย

ใครที่สนใจอยากลงลึกในรายละเอียดให้ไปตามดูคลิปของคนเหล่านี้ได้เลย

Chris The Freelancer

Johny FD

Zoey Arielle

Livin that life

ที่เราพยายามบอกคือ โลกมันไร้พรมแดนแล้วจริงๆ คนจากต่างชาติเข้ามาใช้ชีวิตในเมืองไทย แต่ทำงานหาเงินกันบนโลกออนไลน์ ไม่จำเป็นว่าจะต้องยึดติดอยู่กับที่ใดที่หนึ่ง และรายได้ก็มาจากคนทั่วโลก เราเลยรู้สึกว่า ไม่ได้แล้ว คงต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับชีวิต

โดยเริ่มพัฒนาจากความรู้ในเรื่องของเทคโนโลยีเนี่ยแหละ เราคิดว่าทุกอย่างมันเป็นไปได้ ถ้าเราพยายามมากพอ เอาง่ายๆแค่ลองนำหลักการเหล่านี้มาปรับใช้กับบ้านเรา ทำงานด้วยการใช้ระบบออนไลน์ให้เต็มประสิทธิภาพแล้วมาลองดูซิว่า ผลลัพธ์ที่ได้จะสามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตคนไทยได้บ้างหรือไม่ ซึ่งจากที่ไปงานมาเราก็ได้เก็บเอาข้อคิดดีๆในการทำธุรกิจตามวิถีของชาวดิจิตอลโนแมด ตามมาอ่านต่อกันได้เลยค่ะ

สรุป

ไลฟ์สไตล์แบบ Digital Nomad คือ การใช้ชีวิตท่องเที่ยวไปด้วยทำงานไปด้วย เป็นการทำงานแบบออนไลน์ที่ให้อิสระทุกคนในการทำงาน ใครถนัดอะไร สนใจด้านไหนก็ทำเลย ไม่มีใครบังคับ มีตั้งแต่โปรเจ็กท์หลักร้อยไปจนถึงหลักล้าน แต่สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งเลยคือต้องใส่ความเป็น Entrepreneur หรือการเป็นเจ้าของธุรกิจเข้าไป เพื่อให้สิ่งที่ลงแรงทำนั้นมีความก้าวหน้า ส่วนธุรกิจนั้นจะเติบโตอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับ Performance ความขยันหมั่นเพียร ความใส่ใจ ความพยายาม ของตัวเราเอง

อีกข้อที่สำคัญคืองานนี้เป็นธุรกิจแบบ Global ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก ทำให้สามารถสื่อสารกำกับคนทั้งโลกได้ ตลาดก็คือทุกๆคนที่ใช้ภาษาอังกฤษ นั่นเลยทำให้ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของประเทศ หรือถิ่นฐานที่อยู่เลย

เอาเป็นว่าถ้าใครอยากลองเป็น Digital Nomad ก็ต้องเริ่มสำรวจดูว่างานที่เราถนัดจะสามารถผนวกรวมกับวิถีแบบดิจิตอลนี้ได้อย่างไรละกันนะคะ ศึกษาให้เยอะเดี๋ยวจะเข้าใจเอง หรือไม่ก็ลองอ่านบทความอื่นๆที่นี่ดูนะคะ จะทยอยเอาความรู้ดีๆมาอัพเดทให้อ่านกันเรื่อยๆค่ะ

อ้อ แล้วอย่าลืมสร้างเว็บไซต์และสร้างแบรนด์ให้ตัวเองเป็นอย่างแรกด้วยล่ะ บอกเลยว่าสำคัญ ถ้าไม่รู้ว่าจะเริ่มยังงัยขอเชิญทางนี้เลยค่ะ วิธีการสร้างเว็บไซท์ให้ตัวเอง

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ