10 Digital Products ยอดฮิต ที่เราจะมาแนะนำให้รู้จักนี้คือสิ่งที่อยู่รอบๆตัวและใช้ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ถ้าเรามาลองพยายามทำความเข้าใจกับมันอีกนิดนึงจะรู้ได้ว่าวิธีการสร้างนั้นไม่ได้ยากเลย แถมยังมีข้อดีตรงที่ต้นทุนต่ำอีกด้วย
Digital Products
คือสินค้าที่อยู่ในรูปแบบของดิจิตอลจับต้องไม่ได้ ต้องใช้คอมพ์พิวเตอร์และโปรแกรมต่างๆในการสร้างขึ้นมา อย่างเช่น อีบุ๊ค คอร์สเรียนออนไลน์ ซึ่งข้อดีของการขายสินค้าเหล่านี้คือเราสามารถทำเพียงแค่ครั้งเดียว จากนั้นก็ขายได้เรื่อยๆ ยิ่งเราสร้างตัวเราและสินค้าให้น่าเชื่อถือมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้คนอยากซื้อสินค้ากับเรามากเท่านั้น และเมื่อไหร่ที่เราใช้เทคโนโลยี
ในการทำมาร์เก็ตติ้งได้อย่างถูกวิธีแล้ว คนซื้อก็สามารถเข้ามาหาเราได้โดยไม่ต้องเสียแรงเพิ่ม อย่างเช่นการทำ SEO ให้ติดอันดับหน้าแรกของ Google เป็นต้น
เรื่องที่พูดมานี้อาจดูเป็นเรื่องที่ใหม่มากซึ่งถ้าใครอยากทำความเข้าใจมากขึ้น เราแนะนำให้ไปหาหนังสือที่ชื่อว่า The 4 hour Workweek มาอ่านมีฉบับแปลภาษาไทยนะคะ แล้วจะเข้าใจภาพรวมของสินค้าเหล่านี้ได้มากขึ้น
1.คอร์สออนไลน์
คอร์สเรียนออนไลน์ก็คือการสร้างสินค้าจากเนื้อหาสาระความรู้ในสิ่งที่เรารู้อย่างเช่น สอนภาษาอังกฤษอย่างง่าย สอนงานดีไซน์ สอนการใช้เครื่องมือคอมพิวเตอร์เบื้องต้น เนื้อหาในคอร์สจะนำเสนอเป็นรูปแบบวิดีโอ เรียงลำดับเป็นบทเรียนทีละบทสั้นๆ เพื่อให้คนที่ซื้อไปเข้าใจง่าย ซึ่งเพื่อนๆน่าจะคุ้นเคยกับสิ่งนี้ดี
กำลังเป็นเทรนด์ยอดฮิตที่หลายๆคนชอบโปรโมทขายกันบนเฟซบุ๊ค ถ้าใครไม่คุ้นลองเข้าไปเลือกดูคอร์สเรียนออนไลน์ที่น่าสนใจกันที่ Udemy แล้วลองศึกษาดู จะได้รู้จักหน้าตาและรายละเอียดของสินค้าประเภทนี้
ส่วนการที่เราจะสร้างคอร์สนั้น เราก็ต้องมีความรู้เฉพาะทางในด้านนั้นๆอย่างละเอียด จากนั้นก็นำมาสรุป เรียบเรียงให้เข้าใจง่าย ถ้าจะให้ดีก็ต้องทำการรีเสิร์ชข้อมูลด้วยการหัดสอนคนอื่นมาก่อน จะได้รู้ถึงปัญหาที่เค้าไม่เข้าใจ และคำถามที่เค้ามักจะมี เพื่อที่ว่าเวลาเราทำแผนการสอน จะได้เข้าถึงคนได้ง่ายขึ้น
เราสามารถทำคอร์สขายได้ 2 วิธีคือ
1.1.ขายบน Platform สำเร็จรูป
โดยการเข้าไปที่เว็บไซท์เหล่านี้ และจากนั้นก็สมัครเป็นผู้สอนและสร้างคอร์สเรียน เมื่อไหร่ที่ทำเสร็จก็ขายได้เลย แต่เราต้องหักเปอร์เซ็นต์การขายบางส่วนให้กับเจ้าของ ข้อดีคือไม่ต้องเซ็ทอัพระบบการดูวิดิโอ ระบบตัดเงินให้วุ่นวายกับชีวิต
ตัวอย่างเว็บไซท์ที่เป็นตลาดซื้อขายคอร์สออนไลน์
www.linda.com (ฟรี)
1.2.สร้างเว็บไซท์เพื่อรองรับการขายคอร์สออนไลน์เอง
เราก็ใช้วิธีนี้ล่ะ อาจจะยุ่งยากนิดนึงตอนเซ็ทระบบ แต่รายได้จากการขายสินค้าจะเข้ามาที่เราทั้งหมดโดยไม่ต้องหักเปอร์เซ็นต์ให้ใคร ซึ่งถ้าใครอยากเริ่มต้นสร้างเว็บไซท์เอาไว้ใช้เองก็สามารถเข้ามาดูที่ ขั้นตอนการสร้าง Website ด้วย WordPress step by step ได้เลยจ้า
2.E-Book
คือหนังสือในรูปแบบดิจิตอล ที่ต้องใช้อุปกรณ์อย่างเช่น ipad Kindle คอมพิวเตอร์ ในการอ่าน เราสามารถสร้างอีบุ๊คได้ง่ายๆจากการใช้โปรแกรม MS Word เพียงอย่างเดียวก็ได้ แบ่งข้อมูลเป็นบทพิมพ์ตัวหนังสือลงไป จัดหน้ากระดาษให้น่าอ่าน แล้วก็ไปดีไซน์หน้าปกให้สวยๆเพื่อให้ดึงดูดใจลูกค้า ข้อดีคือใช้เงินลงทุนต่ำ แต่สามารถสร้างให้เป็น Passive Income ได้ ถ้าเราขยันโปรโมทและสร้างฐานลูกค้าเอาไว้มากพอ
การทำอีบุ๊คนั้นเราไม่ต้องวุ่นวายกับขั้นตอนการผลิตและกังวลกับค่าใช้จ่ายที่สูงต่อขั้นต่ำการผลิตในหนึ่งรอบ จึงตัดปัญหาเรื่องต้นทุนและสต็อคสินค้าออกไปได้ ส่วนข้อเสียคือ กลุ่มคนที่อ่านอีบุ๊คในเมืองไทยยังมีปริมาณไม่มาก
สามารถขายอีบุ๊คได้ที่
https://www.naiin.com/e-books/
3.Audio book
นอกจาก E-Book แล้วเราก็ยังสามารถสร้างสินค้าเป็น Audio Book หรือหนังสือเสียงได้อีกด้วย ไม่ต้องอ่านหนังสือเองแต่มีคนมาอ่านให้ฟัง ก็เพลินๆดีนะ ข้อดีคือทำง่ายกว่าวิดีโอเพราะถ้าทำเป็นวิดีโอก็อาจจะต้องเสียเวลาเซ็ทฉากหลัง แต่งหน้าให้ดูดีเวลาออกหน้ากล้อง แล้วก็มีภาพประกอบต่างๆเพื่อให้ดูสนุกขึ้น ซึ่งมันก็จะใช้เวลาในการผลิตผลงานนานนิดนึง ส่วนการทำ Audio Book
เราก็แค่เปลี่ยนจากการเขียนมาเป็นการเล่าและอธิบายข้อมูลความรู้ สาระที่มีประโยชน์ที่เราอยากจะขายลงไปแทน ไฟล์ที่จะให้ลูกค้าก็ทำให้อยู่ในแบบของ Audio File สามารถเปิดฟังแทนเพลงในเวลาที่เบื่อๆได้เลย
ดูตัวอย่างได้ที่
http://www.ookbee.com/shop/audio/
ส่วนด้านล่างนี้คือเว็บไซท์ที่ amazon เค้าแนะนำให้ใช้ในการทำหนังสือให้เป็น Audio Book
4.Graphic Element
ตัวอย่างจาก Graphic Pattern
ชิ้นส่วนของงานกราฟฟิกและตัวอาร์ทเวิร์คนั้นก็นำมาทำเป็นสินค้า Digital Product ขายได้เช่นกัน สำหรับคนที่เป็นนักออกแบบ ชอบวาดรูปบนคอมพิวเตอร์อยู่แล้วก็สามารถนำอาร์ทเวิร์คเหล่านั้นมาปรับให้ใช้งานได้หลากหลายมากขึ้นและนำไปขายตาม Marketplace นี้ได้เช่นกัน
5.Template
Template คือการทำหน้าอาร์ทเวิร์คแบบที่ดีไซน์เอาไว้แล้วพร้อมใช้งาน แต่สามารถให้คนนำไปใช้ต่อได้โดยการปรับเปลี่ยนชื่อ ตัวหนังสือ ข้อความต่างๆ ที่อยู่บนนั้นตามที่เค้าต้องการ คนที่มีความรู้ทางด้านกราฟฟิกก็สามารถทำเทมเพลทต่างๆมาขายได้ อย่างเช่น เทมเพลทเมนูอาหารและเครื่องดื่ม เทมเพลท Greeting Card เทมเพลท Banner สำหรับการโปรโมทสินค้าบนโซเชี่ยล
เทมเพลท Resume หรืออาจจะทำเป็นเทมเพลทโลโก้แบรนด์หลายๆแบบ เอาไว้ให้ลูกค้าได้เลือกใช้เองก็ได้ เราสามารถนำมาขายได้ที่
6.ทำ Sticker Line / Theme Line
ตัวอย่างจาก Tiny Ducky
หลายๆคนคงชอบวิธีนี้เพราะมันเข้าใจง่ายดี แล้วเราก็ใช้ Line เป็นหลักอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน ส่งสติ๊กเกอร์แทนคำพูดก็ได้ฟีลลิ่งมากกว่า และมันก็เป็นเรื่องที่น่าสนุกถ้าเราจะทำสติ๊กเกอร์ไลน์ของเราเอาไว้ใช้เอง แถมยังขายได้เรื่อยๆด้วย
7.สร้างสินค้าแบบ Printable
ลองนึกภาพงานที่ปริ๊นท์ลงบนกระดาษทั้งหลายอย่างเช่น ปฎิทิน แพลนเนอร์ ภาพถ่าย คำคมต่างๆที่เอาไว้ใส่กรอบตกแต่งบ้าน และอื่นๆอีกมากมาย ทั้งหมดนี้นอกจากจะขายแบบธรรมดาอย่างที่เราเข้าใจกัน ก็ยังสามารถขายเป็นแบบ Printable คือการที่เราอัพโหลดไฟล์เอาไว้ พอมีคนจ่ายตังซื้อก็แค่กดไปที่ลิงค์ ดาวน์โหลดลงเครื่อง แล้วก็ปริีนท์ออกมาใช้งาน
ข้อดีคือเราไม่ต้องเสียเวลาสต็อคของ ผลิต และส่งของ เราใช้ระบบดิจิตอลเข้ามาช่วยเราแทน และยังสามารถขายไปได้ไกลทั่วโลกเลย เพียงแค่มีอินเตอร์เน็ทก็ซื้อขายได้แล้ว
ดูตัวอย่างได้ที่
https://www.etsy.com/shop/Plaradise
8.สร้าง Theme สำหรับ Website
ใครที่เก่งทางด้านไอที เป็น Developer ทางด้านการทำเว็บไซท์ก็น่าลองทำ Theme สำหรับการใช้งานบน WordPress, Squarespace และ Wix ดูบ้าง ทำตามแบบที่คิดวิเคราะห์มาแล้วว่าใช้งานง่าย เป็นแบบ User Friendly ที่เป็นประโยชน์สำหรับคนที่นำไปใช้และลูกค้าที่จะเข้ามาในเว็บไซท์ที่ได้ใช้ตีมของคุณ วิธีนี้เป็นอะไรที่น่าสนใจมากเลยนะคะ สนใจดูตัวอย่าง Theme กันได้ที่
9.ขายรูปภาพออนไลน์
ภาพตัวอย่างจาก Istockphoto
สำหรับใครที่เป็นช่างภาพ หรือชอบถ่ายภาพมีสต็อคสวยๆเอาไว้เยอะ ก็สามารถนำภาพเหล่านั้นมาขายได้ ไม่ว่าจะเป็นรูปบรรยากาศการทำงาน รูปวิวทิวทัศน์ รูปอาหาร ได้หมดทุกอย่างไม่จำกัด เราอาจจะศึกษาว่าภาพที่ขายดีนั้นเค้าทำอย่างไรด้วยการลองใช้คีย์เวิร์ดเสิร์ชหาภาพที่เราอยากได้มาใช้ประกอบกับงานหรือเว็บไซท์ของเราดู ถ้าไม่เจอสิ่งที่ใช่เราก็ถ่ายภาพนั้นเอาไว้ แล้วก็นำมาขายเองซะเลย ใช้เองได้และขายได้ คุ้มเลยทีเดียว ด้านล่างคือเว็บที่ใช้สำหรับซื้อขายภาพออนไลน์
10.Footage Video
ตัวอย่างจาก Workplace of Businessman
ถ้าปกติเป็นคนชอบถ่ายวิดีโอเล่นอยู่แล้ว ลองเปลี่ยนมาเป็นการถ่ายวิดีโอเพื่อการค้าบ้างก็ดีนะ อาจจะเริ่มต้นจากการถ่ายในสิ่งที่เราสนใจอยู่แล้วเช่น วิดีโอการทำอาหาร วิดีโอตอนไปเที่ยวตามสถานที่สวยๆ หรือจะเป็นการเซ็ทฉากถ่ายวิดีโอตอนที่ประชุมงาน เราก็สามารถนำมาขายได้ แต่ขอให้เป็นวิดีโอคุณภาพ Full HD ตัดต่อให้น่าดูก็จะทำให้ขายดีขึ้น เสียงเพลงและเสียงดนตรีที่เราแต่งขึ้นมาเองก็สามารถขายได้เช่นกัน
สรุป
Digital Products นั้นใช้เงินลงทุนในการสร้างต่ำ และสามารถสร้างให้เป็น Passive Income ได้ด้วย สิ่งที่เป็นต้นทุนก็คือเวลาและแรงงานของเรา ซึ่งระยะเวลาในการทำจะมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับรายละเอียดของสินค้าแต่ละชนิด เราคิดว่าอย่างน้อยๆมันก็ไม่ได้เสียหายอะไรถ้าเพื่อนๆจะสร้างสินค้าเหล่านี้เอาไว้ขายดูบ้าง ใครถนัดแนวไหนก็สร้างสินค้าดิจิตอลแนวนั้นให้เหมาะกับตัวเอง มีหลายคนที่สามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำจากสินค้าประเภทนี้
สิ่งสำคัญของการทำสินค้า Digital Products นั้นก็คือการสร้างแบรนด์ให้ตัวเองก่อน สร้างเรื่องราวให้ลูกค้าเชื่อในตัวเรา เชื่อในสินค้าของเรา จากนั้นก็ทำการโปรโมท ทำมาร์เก็ตติ้งอย่างสม่ำเสมอ สร้างคอนเท้นท์ดีๆ มีประโยชน์ออกมาให้ลูกค้าชอบในสิ่งที่เราทำให้ได้ เมื่อนั้นแหละสิ่งที่เราได้ลงมือลงแรงทำก็จะเป็นผลงอกเงยให้เห็น ซึ่งแน่นอนว่าของเหล่านี้ต้องใช้เวลาในการสร้างไม่น้อยเลยทีเดียวแต่มันก็คุ้มค่า